Wednesday, 24 February 2010

Black Buddha

ภาพถ่าย ณ ปัจจุบัน ดูผ้าสิ ยังเป็นผ้าที่เราเอาไปห่มท่านที่อินเดียอยู่เลย...น้ำตาซึม


สำหรับประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อองค์ดำ จากบันทึกของ ปิลาซิง ทำให้เราได้ทราบว่า พระพุทธรูปพระพุทธเจ้าองค์ดำนี้ สร้างเมื่อสมัย พระเจ้าเทวาปาล คือระหว่าง พ.ศ.1353-1393

และถ้าหากท่านทราบประวัติความเป็นมามากกว่านี้ ท่านจะรู้สึกศรัทธา และประหลาดใจเป็นแน่ เพราะเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือจากการทำลายของคนศาสนาอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ.1766 พวกมุสลิมได้ใช้วิธีเผยแผ่ศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ ถ้าใครไม่นับถือศาสนาของตนจะต้องถูกทำร้าย โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญ จะต้องถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา

จนกระทั่งเข้ายึดครองดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือได้ทั้งหมด ด้วยการใช้กำลังอำนาจเข้าห้ำหั่น ฆ่าฟัน ข่มเหง และย่ำยีด้วยวิธีการต่างๆ นานา ซึ่งมี อิคเทียร์ ซิลจิ เป็นหัวหน้า พาสมัครพรรคพวก ถืออาวุธเข้าห้ำหั่นชาวพุทธ ทุบทำลายเผาตำรับตำรา สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก

จากการบันทึกของท่าน ตารนาท ธรรมสวามินปราชญ์ เขียนเอาไว้ว่า พอกองทัพมุสลิมยกทัพกลับไปแล้ว พระ นักศึกษา และพระอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 70 องค์ ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน ทำการสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ รวบรวมเท่าที่จะหาได้ ปฏิสังขรณ์ตัดทอนกันเข้า ก็พอได้ใช้สอยกันต่อมา

และท่าน มุทิตาภัทร รัฐมนตรีของกษัตริย์ ในสมัยนั้น ได้จัดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง ส่งไปจากแคว้นมคธ เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น

แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มี ชูชก 2 คน เข้ามาวางอำนาจ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลทางศาสนา จนกระทั่ง 12 ปีผ่านไป 2 ชูชกก็ยังวางตนเขื่องอยู่

มาถึงคราวหนึ่ง ทั้ง 2 ชูชกได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น และคงคิดว่าเพียงพอแล้วที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้รวบรวมเศษไม้ แล้วก่อไฟขึ้น พร้อมทั้งขว้างปาดุ้นฟืนที่ติดไฟไปตามสถานที่ต่างๆ โดยรอบ จนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ไปทั่ว มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา แหลกลาญเป็นผุยผง สุดที่จะทำการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ให้คืนดีได้ดังเดิม มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา อันเลื่องชื่อลือนาม ก็เป็นอันสิ้นสุดลง ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า มาตั้งแต่บัดนั้น

จนกระทั่งชาวอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย ได้มีนักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อท่าน เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านบันทึกของ พระถังซำจั๋ง ซึ่งเป็นพระจีนที่เคยเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ถึง 14 ปี ได้บันทึกเหตุการณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด

ซึ่งเมื่อ เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านดูแล้ว จึงได้มอบหมายให้ เอ.เอ็ม.พรอดเล่ย์ และ ดร.สปูนเนอร์ เข้าไปค้นหาปูชนียวัตถุ ตามบันทึกนั้น ก็ปรากฏว่าได้พระพุทธรูปมากมายหลายองค์ ส่วนมากจะเสียหายหักบิ่นจากการถูกทำลายของมุสลิมดังกล่าว จึงส่งเข้าไปรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ

ส่วนพระพุทธรูป หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ นั้น ไม่ทราบว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกส่งไปอังกฤษด้วย และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุด จะมีหักบิ่นนิดหน่อยเฉพาะที่พระนาสิก และพระองค์คุลีข้างขวาเท่านั้น

สรุปแล้วก็คือ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของมุสลิม และไม่ถูกอังกฤษยึดไป หากมองจากภาพทั่ว ๆ ไปแล้วพระพุทธรูปองค์ดำนี้..มีขนาดใหญ่และปดิษฐานตั้งไว้บนฐานที่มั่นคงยากลำบากต่อการเคลื่อนย้าย แต่ตามคำบอกเล่าทราบว่า ในกาลภายหลังทางรัฐบาลอินเดียพยายามที่จะย้ายท่านไปเก็บรักษาไว้ภายในพิพิธภัณฑ์เมืองนาลันทา ซึ่งเก็บรวบรวมหลักฐานพระพุทธรูปต่าง ๆ ที่ค้นพบในบริเวณนาลันทาและราชคฤห์ ทุกครั้งที่มีการโยกย้ายมักเกิดเหตุอาเพทที่ไม่คาดฝันเสมอ เช่น ฝนตกอย่างหนักเกิดฟ้าผ่าอย่างรุนแรงเป็นต้น เป็นเหตุให้การโยกย้ายองค์พระไม่สำเร็จได้ และชาวบ้านก็มาดูแลรักษาหลวงพ่อดำไว้ หากเกิดการเจ็บป่วยก็จะนำน้ำมันมาลูบองค์พระแล้วอฐิษฐานขอให้หลวงพ่อรักษาโรคต่าง ๆ ก็เป็นมหัศจรรย์ว่า โรคต่าง ๆ ได้ถูกรักษาด้วยพลังความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ แม้แต่ปัจจุบัน ชาวพุทธผู้แสวงบุญชาวไทยต่างก็เดินทางไปสักการะและอฐิษบานของพรจากท่านรักษาโรคต่าง ๆ หายได้นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก หากมีโอกาสก็อย่าลืมไปสักการะหลวงพ่อดำได้ที่นาลันทา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย
เรื่อง/ภาพ จากท่านคมสรัญญี พระธรรมฑูตสายอินเดีย