Friday 29 January 2010

Pattana II

...สองคนนี้ทำหน้าแปลกๆ กว่าจะได้กินข้าว มันก็ดึกแล้ว ก็เลยกินไม่ค่อยลงอ่ะ กินได้แต่ไอติม อิอิ


เย นํ ททนฺติ สทฺธาย วิปฺปสนฺเนน เจตสา

ตเมว อนฺนํ ภชติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ

ตสฺมา วิเนยฺย มจฺเฉรึ ทชฺชา ทานํ มลาภิภู

ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ

ชนเหล่าใดมีใจผ่องใส ให้อาหารนั้นด้วยศรัทธา

อาหารนั้นแล ย่อมพะนอเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

เพราะฉะนั้น บุคคลพึงนำความตระหนี่ให้ปราศไป

พึงข่มความตระหนี่ ซึ่งเป็นตัวมลทินเสีย แล้วให้ทาน

เพราะบุญเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ในโลกหน้า

(สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)

Pattana

เพื่อนๆ เห็นหัวเรามั้ย อิอิ พี่เล็กใส่เสื้อเหมือนเด็กเลย..คิดถึงพี่หุยคนสวยด้วย

Tuesday 26 January 2010

นาลันทา

ข้างหลังคือพระสถูปของพระสารีบุตรเถระค่ะ
หนูเหนื่อยมากเลย จะยิ้มไม่ไหวแล้วเนี่ย...

สิริมาวิมาน II

"ดิฉันเป็นปริจาริกาของพระราชาผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงมีสิริ ณ มหานคร ซึ่งสถาปนาไว้เป็นอันดี ณ กลางภูผา (5 ลูก) เป็นผู้ชำนาญเยี่ยมด้วยศิลปะฟ้อนรำขับร้อง คนทั้งหลายในกรุงราชคฤห์ได้รู้จักดิฉันในนามว่า สิริมาเจ้าข้า พระพุทธเจ้าผู้เป็นฤษีประเสริฐสุด เป็นผู้แนะนำ ได้ทรงแสดงทุกขสัจ สมุทัยสัจ ทุกขนิโรธสัจ ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ และมรรคสัจนี้ ที่ไม่คด เป็นทางตรง ทางเกษม

ดิฉันสดับอมตบทที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เป็นคำสอนของพระตถาคต ผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า ดิฉันเป็นผู้สำรวมอย่างยิ่งในศีลทั้งหลาย ตั้งอยู่ในธรรมอันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นนระประเสริฐทรงแสดงแล้ว

ดิฉันรู้บทที่ปราศจากกิเลสดุจธุลี ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ซึ่งพระตถาคต ผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่าทรงแสดงแล้ว ดิฉันได้สัมผัสสมาธิจากสมาถุในอัตภาพนั้นนั่นแล อันนั้น ได้ความแน่นอนอย่างยิ่ง (ที่จะบรรลุมรรคผล) สำหรับดิฉัน

ดิฉันได้อมตธรรมอันประเสริฐ ทำให้แปลกจากปุถุชน มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยส่วนเดียว บรรลุคุณวิเศษเพราะตรัสรู้ ไม่มีความสงสัยอันชนเป็นอันมากบูชาแล้ว ดิฉันเสวยความยินดีระเริงเล่นไม่น้อยเลย

ดิฉันเป็นเทวดาเห็นอมตธรรมอย่างนี้ เป็นสาวิกาของพระตถาคต ผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า เห็นธรรมก็ตั้งอยู่ในผลระดับแรก (โสดาปัตติผล) เป็นพระโสดาบัน ทุคตเป็นอันไม่มีอีกละ

ดิแนนั้นเข้ามาเพื่อถวายบังคมพระองค์ ผู้ที่ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า และเหล่าภิกษุผู้ยินดีในกุศลที่น่าเลื่อมใส เพื่อนมัสการสมรสมาคมอันรุ่งเรือง ดิฉันมีความเคารพในพระธรรมราชาผู้ทรงสิริ

ดิฉันพบพระมุนีแล้ว ก็มีใจบันเทิงเอิบอิ่ม ขอถวายบังคมพระตถาคต ผู้ทรงเป็นสารถีฝึกคนดีที่ควรฝึก ทรงตัดตัณหา ยินดีในกุศล เป็นผู้นำสัตว์ผู้อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง"
อรรถกถาสิริมาวิมาน ปรมัตถุทีปนีอรรถกถาขุททกนิกาย วิมานวัตถุ 138-139

สิริมาวิมาน

...นามรูปเห็นปานนี้ ถึงความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ทำให้งดงามด้วยเครื่องประดับภายนอกก็ยังมีแผล โดยปากแผลทั้ง 9 อันกระดูก 300 ท่อน สร้างเป็นโครงขึ้น อาดูรเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ ชื่อว่ามีความดำริมาก เพราะมหาชนผู้เขลา ดำริโดยส่วนมากอย่างเดียว อัตภาพที่ไม่ยั่งยืน ดังนี้ จึงตรัสพระคาถาว่า
"เธอจงดูรูปกาย ที่ปัจจัยทำให้งดงาม มีแผล กระดูกสร้างเป็นโครงขึ้น มีความเดือดร้อน มีความดำรืมาก ซึ่งไม่มีความยืนยงคงที่เลย."

พระวังคีสเถระประสงค์จะให้นางสิริมาเทพธิดา ได้ประกาศบุญกรรมที่นางทำไว้ในครั้งก่อน จึงสอบถามนางด้วยสองคาถาว่า
"ม้าของท่านเทียมรถ ประดับด้วยอลังการอย่างเยื่ยม ก้มหน้าไปในอากาศ มีกำลังว่องไวมาก ม้าเหล่านั้นเทียมรถ 500 อันบุญกรรมเนรมิตแล้ว นายสารถีเดือนแล้วก็พาตัวท่านไป ท่านนั้นประดับองค์แล้วยืนอยู่บนรถอันเพริศแพร้ว ก็สว่างไสวคล้ายดวงไฟกำลังโชตช่วงอยู่นี้
ดูก่อนเทพธิดาผู้อ่าองค์ น่าดูไม่จืด อาตมาขอถาม ท่านมาจากเทพหมู่ไร จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า"

สิริมาเทพธิดาจึงตอบด้วยคาถาว่า
"บัณฑิตทั้งหล่าว กล่าวถึงเทพซึ่งเป็นผู้เลิศด้วยกาม(ชั้นปรนิมมิตวสวัดดี)หมู่ใดว่า เป็นทวยเทพที่เยี่ยมหาที่เปรียบมิได้ ยินดีด้วยกามสมบัติ ที่ทวยเทพเหล่าอื่นมาเนรมิตให้ (นิมมานรดี) ดิฉันเป็นอัปสรที่มีวรรณะงาม มาจากเทพหมู่นั้น มาในมนุษย์โลกนี้ก็เพื่อจะถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า."
พระสุนตันตปิฏก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ หน้า 125-126

Friday 22 January 2010

cover III

เสร็จละ..ปลื้มใจค่ะ ง๊ามงาม งามมากกกกก

cover II


Thursday 21 January 2010

cover

นาลันทาค่ะ

Wednesday 20 January 2010

วัดเวฬุวัน

ชีวิตของดิฉัน...มีแต่เดินไปข้างหน้าเท่านั้น
ไม่มีวันหันหลังกลับ
หรือเก็บของ...ที่ตัดสินใจทิ้งไปแล้ว
คิดแล้ว เรื่องมันก็แปลกที่
ไม่ว่าจะเมื่อก่อน ตอนนี้ หรือต่อไป
คิดว่า คำตอบก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

ที่นี่ ได้ซื้อส่าหรีสีฟ้าสวยมากไว้ใส่ให้ครึ้มใจเล่น แล้วก็ซื้อสีแดงกับสีเขียวสวยๆ แจกชาวบ้านที่นี่ด้วย ครั้งหน้าอยากได้สีเหลืองสดใสค่ะ...^_^...

Tuesday 19 January 2010

Anisamsa : good result

อานิสงส์ คือผลที่หลั่งไหลมาจากเหตุ


...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาอีกพวกหนึ่งเป็นอันมาก เข้ามาหาเราแล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรพชิตทั้งหลายเข้ามายังเรือนของข้าพระองค์ทั้งหลายเมื่อยังเป็นมนุษย์ในกาลก่อน ข้าพระองค์เหล่านั้นลุกรับ กราบไหว้ ให้อาสนะ แบ่งปันสิ่งของให้ตามสามารถ ตามกำลัง เข้าไปนั่งใกล้เพื่อฟังธรรมเงี่ยโสตลงสดับธรรม ฟังแล้วทรงจำธรรมไว้ พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้ และรู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ข้าพระองค์เหล่านั้นมีการงานบริบูรณ์ ไม่มีความกินแหนงใจ ไม่มีความเดือดร้อนตามในภายหลัง เข้าถึงหมู่เทวดาชั้นประณีต

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๗๗๒

Monday 18 January 2010

count

วัดไทยราชคฤห์ พวกเราบริจาคปัจจัยเพื่อบำรุงวัดและเพื่อสิ่งจำเป็นสำหรับสงฆ์ค่ะ


พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 445

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในปฏิจจสมุปบาทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสอวิชชาไว้แต่ต้น แม้อวิชชาก็ไม่มีอะไรเป็นเหตุ เป็นเหตุเดิมของโลก เหมือนความคงที่ของพวกปกติวาทีหรือ ?

ตอบว่า อวิชชา มิใช่ไม่มีเหตุ เหตุแห่งอวิชชา พระองค์ตรัสว่า อาวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย (อวิชชาเกิดขึ้น เพราะอาสวเกิดขึ้น)ดังนี้.(อวิชชาเกิดขึ้น เพราะอาสวเกิดขึ้น) ดังนี้.

Friday 15 January 2010

walking out of Himalaya

ตะวันส่องใส แดดฉายลงมา ทาบทาทิวทุ่ง
แผ่วลมผ่านโรย เหมือนโปรยกลิ่นปรุง ดอกฟางหอมลอย
ดอกหญ้าดาว วับวาวทางเกลื่อน เหมือนดังหยาดพลอย
แตะนิดต้องน้อย ราวมณีร่วงพรู พัดพรายลงดิน
จะอยู่แดนไหน สุดฟ้าแสนไกล คะนึงถึงถิ่น
ด้าวแดนแผ่นดิน ที่เราจากมา เนิ่นนานแสนนาน
ดอกหญ้างาม งดงามดังก่อน หรือร่อนร่วงราน
แดดร้อนดินแล้ง ลมระงมแผ้วพาน บ้านนาป่าเขา
ทุ่มกายทุ่มใจ เข้าโหมแรงไฟ หัวใจแรงเร่า
ยิ่งสร้างยิ่งทำ ระกำหนักเบา ดิ้นรนหนทาง
เจ้ามิ่งขวัญ ยิ่งวันยิ่งเดือน ยิ่งเลือนยิ่งราง
ทอดทิ้งทุ่งร้าง วันและวันผ่านเยือน เหมือนเดินทางไกล
ตะวันส่องแสง สาดแสงลงมา ทาบทาทางใหม่
ร่วมจิตร่วมใจ ก้าวไปก้าวไป ฝ่าภัยร้อยพัน
มิ่งขวัญเอ๋ย หัวใจเรามั่น เหมือนทานตะวัน
เฉิดแสงแรงฝัน กลางรวีตะวัน สีทองส่องใส

เพลง ทานตะวัน
ในชุด ลมไผ่
เนื้อร้อง โดย อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ทำนอง อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี

แปลกจังที่ฟังเพลงนี้แล้วคึดเติ้งแม่
คึดเติ้ง ยามเฮาอยู่นำกัน เนอะแม่เนอะ
คึดเติ้ง ยามเฮาไปอาบน้ำนำกัน ริมหาดทราย แม่น้ำน่าน
คึดเติ้ง ยามนอนมองดาวในคืนเดือนมึด
คึดเติ้งทุ่งนา...สุดลูกหูลูกตา
คึดเติ้ง หมอกยามเช้า และกองไฟเล็กๆ ในหน้าหนาว
สิ่งที่ดีที่สุดที่แม่ทำเพื่อลูก ทำให้เวลาของเราที่จะอยู่นำกันหายไปนานเกือบ 30 ปี

friendship


Thursday 14 January 2010

ความน่ารักของพี่โต


พี่โต...ความน่ารักของเธอมีมากนะ แล้วก็ต้องสารภาพว่า พี่เป็นคนที่น่ารักที่สุดคนหนึ่งที่หนูเคยเจอมาเลยทีเดียว เวลาอ่อนโยนใจดี ก็น่ารัก เวลาอบอุ่น ลึกซึ้ง เข้าอกเข้าใจก็น่ารักมากเลย ตอนเอาอกเอาใจเวลาน้องงอนนะน่ารักที่สุด...ถึงบางครั้ง พี่จะทำให้น้องงงๆ คือเหมือนโกรธหรืองอนอะไรหนูเลยอ่ะ ทำให้หนูทำอะไรหรือเอาใจพี่ไม่ถูกเลยค่ะ แต่พอนึกถึงความดี ความอ่อนโยนของพี่ทีไร หนูก็หายงงอ่ะค่ะ คือไม่ว่ายังงัยพี่โตก็น่ารักเสมอ ขอให้พี่เข้าใจว่า ไม่ว่าน้องจะพูดหรือทำอะไรที่บางครั้งไม่ถูกใจ แต่ในใจน้องก็หวังให้พี่มีความสุขเสมอ ไม่เคยคิดร้ายแม้ขณะหนึ่ง...จุ๊บ จุ๊บ

Wednesday 13 January 2010

อยู่ด้วยความรัก


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ทรงสอนให้ทุกคนตั้งอยู่ในความเมตตา คือให้มีความปรารถนาดีต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน ไม่มีการรังเกียจเดียดฉันท์และริษยากัน ให้รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เรารักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด ผู้อื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ ฉันนั้นเหมือนกัน

เมตตา จึงหมายถึงความเป็นมิตรไมตรีกัน ผู้ที่เรายกย่องว่าเป็นมิตร คือผู้ที่ปรารถนาดีต่อเรา เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ชื่อว่า มิตร จึงต้องประกอบด้วยเมตตา

ถ้าทุกคนเพียงแต่เมตตารักใคร่ปรารถนาดีต่อกันเท่านั้น โลกทั้งโลกจะสดชื่นแจ่มใส ไม่ว่าท้องฟ้าจะสว่างไสวอำไพไปด้วยแสงแดด หรือว่ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน ไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออก ที่พำนักพักพิงของเราจะเล็กหรือใหญ่ น่ารื่นรมย์หรือไม่ ก็ไม่เห็นเดือดร้อน ในเมื่อจิตใจของเราเองก็แจ่มใส ทั้งมองไปทางไหนก็พบแต่คนที่หน้าตาสดใสเบิกบาน เจรจาปราศรัยกันด้วยหน้าตายิ้มแย้ม และด้วยท่วงท่าที่น่ารักแสดงถึงความเป็นมิตร เพียงแต่เขียน เพียงแต่พูด หรือเพียงแต่ฟังว่าให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน ก็ดูไม่ยาก แต่การปฏิบัติให้ได้อย่างที่เขียน พูด และที่ฟังนั้นไม่ง่ายนัก ต้องใช้ความอดทนอดกลั้น

พระพุทธเจ้า ตรัสเรียกว่า "ขันติ" คือ อโทสะ ความไม่โกรธ มากเป็นพิเศษ คนที่ไม่โกรธ จึงเป็นคนน่ารักมาก หรือแม้จะโกรธ แต่ระงับไว้ได้ ไม่แสดงให้ปรากฏก็ยังน่ารัก สำหรับบุคคลที่เรารักเราชอบ แม้ว่าเขาจะทำให้เราไม่พออกพอใจบ้าง เราก็สามารถจะเมตตาได้ง่าย ด้วยการใช้ขันติ ความอดทนอดกลั้นเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

แต่สำหรับบุคคลที่เราไม่รักไม่ชอบนั้น แม้เขาจะไม่ได้ทำอะไรให้ขัดเคือง ก็ยากที่จะเมตตาเป็นมิตรด้วยอยู่แล้วถ้ายิ่งทำให้เราขัดเคืองไม่พอใจแม้สักนิด เราก็จะพาลโกรธ พาลเกลียดมากขึ้น เราจึงต้องใช้ความอดทนมากเหลือเกิน ในการที่จะไม่โกรธ หรือไม่แสดงอาการขุ่นเคืองให้ปรากฏ และในการที่จะอภัยให้...

ทั้งๆ ที่รู้กันทุกคนว่า ความโกรธเป็นของไม่ดี ความผูกโกรธเป็นของไม่ดี ความอาฆาตเป็นของไม่ดี เพราะทำให้จิตใจเร่าร้อน กระวนกระวายไม่เป็นสุข ทั้งหน้าตาก็พลอยเศร้าหมองเป็นทุกข์ แต่ทุกคนก็ยากที่จะตัดมันออกไปจากใจ ซ้ำบางคนยังชอบเก็บสะสมเอาไว้อีกด้วย ก็ทำไมเราจะลืมความไม่พออกพอใจ ที่ใครๆ เขาทำต่อเราเสียไม่ได้หรือ อภัยให้แก่กันเสียไม่ได้หรือ ใช้เมตตาเข้าหากัน ถ้าทำได้จิตใจก็จะไม่เร่าร้อน ไม่กระวนกระวาย หน้าตาก็พลอยแจ่มใสเบิกบาน เป็นสุขทุกเมื่อ

อาจารย์ ประณีต ก้องสมุทร

earthy

ขออนุญาต...เช็ดเท้า เช็ดเท้า สกปรกอ่ะค่ะ

Tuesday 12 January 2010

คิชกูฏ IV


Monday 11 January 2010

ความรัก-ความร้าย

....เปรียมเหมือนปริเฉทากาส ที่แทรกอยู่ในทุกกลาปะ...

“น้องหญิง ความรักเป็นเรื่องร้ายมิใช่เป็นเรื่องดี พระศาสดาตรัสว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โศก และทรมานใจ เธอชอบความทุกข์หรือ ?”

“ข้าพเจ้าไม่ชอบความทุกข์เลยพระคุณเจ้า และความทุกข์นั้นใคร ๆ ก็ไม่ชอบ แต่ข้าพเจ้าชอบความรัก โดยเฉพาะรักพระคุณเจ้า”

“จะเป็นไปได้อย่างไร น้องหญิง! ในเมื่อทำเหตุก็ต้องได้รับผล การที่จะให้มีรักแล้วมิให้มีทุกข์ติดตามมานั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย"

“แต่ข้าพเจ้ามีความสุข เมื่อได้เห็นพระคุณเจ้า ได้สนทนากับพระคุณเจ้า ผู้เป็นที่รักอย่างยิ่งของข้าพเจ้า รักอย่างสุดหัวใจเลยทีเดียว”

“ถ้าไม่ได้เห็นอาตมา ไม่ได้สนทนากับอาตมา น้องหญิงจะมีความทุกข์ไหม?”

“แน่นอนเลยทีเดียว ข้าพเจ้าจะต้องมีความทุกข์อย่างมาก”

“นั่นแปลว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แล้วใช่ไหม?”

“ไม่ใช่พระคุณเจ้า นั่นเป็นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักต่างหากเล่า ไม่ใช่เพราะความรัก”

“ถ้าไม่มีรัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักจะมีได้หรือไม่?”

“มีไม่ได้เลย พระคุณเจ้า”

“นี่แปลว่าน้องหญิงยอมรับแล้วใช่ไหม ว่าความรักเป็นสาเหตุชั้นที่หนึ่งที่จะให้เกิดทุกข์”

พระอานนท์พูดจบแล้วยิ้มน้อย ๆ ด้วยรู้สึกว่ามีชัย แต่ใครเล่าจะเอาชนะความปรารถนาของหญิงได้ง่าย ๆ ลงจะเอาอะไรก็จะเอาให้ได้ เพราะธรรมชาติของเธอมักจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ถ้าผู้หญิงคนใดใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาชีวิต หรือในการดำเนินชีวิต หญิงนั้นจะเป็นสตรีที่ดีที่สุดและน่ารักที่สุด เหตุผลที่กล่าวนี้มิใช่มากมายอะไรเลย เพียงไม่ถึงกึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แม้นางจะมองเห็นเหตุผลของพระอานนท์ว่าคมคายอยู่ แต่นางก็หายอมไม่ นางกล่าวต่อไปว่า...

“พระคุณเจ้า ความรักที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ดังที่พระคุณเจ้ากล่าวมานั้น เห็นจะเป็นความรักของคนที่รักไม่เป็นเสียละกระมัง คนที่รักเป็นย่อมรักได้โดยมิให้เป็นทุกข์”

“น้องหญิงเคยรักหรือ หมายถึงเคยรักใครคนใดคนหนึ่งมาบ้างหรือไม่ในชีวิตที่ผ่านมา”

“ไม่เคยมาก่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย”

“เมื่อไม่เคยมาก่อนเลย ทำไมเธอจึงจะรักให้เป็นโดยมิต้องเป็นทุกข์เล่าน้องหญิง คนที่จับไฟนั้นจะจับเป็นหรือจับไม่เป็น จะรู้หรือไม่รู้ ถ้าลงได้จับไฟด้วยมือแล้วย่อมร้อนเหมือนกันใช่ไหม ?”

"ใช่ พระคุณเจ้า”

“ความรักก็เหมือนการจับไฟนั่นแหละ ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คืออย่าจับไฟ อย่าเล่นกับไฟ ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียว คืออย่ารักแต่ความรักย่อมมีวงจรของมัน จนกว่ารักนั้นจะสิ้นสุดลง ชีวิตมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ เมื่อใครคนหนึ่งพยายามดิ้นรนหาความรัก เขามักจะไม่สมปรารถนา แต่พอเขาทำท่าจะหนี ความรักก็ตามมา ความรักจึงมีลักษณะคล้ายเงา เมื่อบุคคลวิ่งตามมันจะวิ่งหนี แต่เมื่อเขาวิ่งหนี มันจะวิ่งตาม"

"ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก เพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง น้องหญิง อย่าหวังอะไรให้มากนัก จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่นซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่งและแตกกระจายเป็นฟองฝอย จงยืนมองดูชีวิต เหมือนคนผู้ยืนอยู่บนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทรฉะนั้น"

"ดูก่อนน้องหญิง ส่วนเมถุนธรรมนั้น ใคร ๆ จะอาศัยละมิได้เลย นอกจากจะพิจารณาเห็นโทษของมันแล้วเลิกละเสีย ห้ามใจมิให้เลื่อนใหลไปยินดีในกามสุขเช่นนั้น น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่ากามคุณนั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มีสุขน้อยแต่ทุกข์มาก มีโทษมากมีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล"
เขียนโดย อาจารย์ วศิน อินทสระ

คิชกูฏ III


คุณลุงสงบ คุณป้ากาญจนา และหนูปอม ในมือคือกล่องใส่ดอกบัวคริสตัลที่นำมาบูชา ณ พระมูลคันธกุฏี

Thursday 7 January 2010

Savannah & The Dots'Umbrella

โห...น่ารักน่าชัง คนนะม่ายช่ายร่ม haha

ความรักของพ่อที่มีแก่บุตรสาว

ความรักของพ่อที่มีแก่นางวิสาขา บุตรสาว

อันความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรนั้นมากเกินกว่าจะประมาณได้ เป็นความรักพิสุทธิ์ใสไร้มลทินใดๆ บุคคลส่วนใหญ่จะรักใคร่เราก็เพียงแต่รูปกายภายนอก อันว่าหมดงามก็หมดรัก หมดทรัพย์ก็หน่ายหนี แต่บิดามารดารักเราประดุจแก้วตาดวงใจ เปี่ยมล้นด้วยความปรารถนาดีไม่มีเสื่อมคลาย เป็นความรักที่จีรังยั่งยืนไปแปรผันไปตามกาลเวลา

ความห่วงใยที่บุพการีมีต่อบุตร คือสายตามองการณ์ไกลของผู้ที่ผ่านโลกและชีวิตมายาวนาน ดังเช่นท่านธนัญชัยเศรษฐี บิดาของนางวิสาขา ในกาลที่บุตรีซึ่งเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เล็กจะต้องออกเรือนไปสู่ตระกูลอื่นนั้น ท่านมีความห่วงใยถึงความเป็นอยู่ และความเดือดร้อนที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นในภายภาคเบื้องหน้า ได้ตรึกตรองหาแนวทางแก้ปัญหาไว้อย่างรอบคอบ ด้วยเข้าใจดีว่า

อันว่าบุคคลอื่นย่อมเป็นคนอื่น จะให้เอ็นดูรักใคร่บุตรของตนเสมอคนในครอบครัวย่อมไม่มี

และเพื่อไม่ให้เป็นที่เสื่อมเกียรติแก่บุตรีผู้เป็นหญิงมาจากตระกูลคฤหบดีมหาศาลแห่งแคว้น ทรัพย์สินอันใดจักต้องมิให้มีขาดตกบกพร่อง เพื่อนางจักได้เป็นที่เกรงใจแห่งตระกูลสามี และเพื่อประโยชน์ที่จะเกิดมีในอนาคต ในกาลนี้ ท่านธนัญชัยเศรษฐีได้ทำการตระเตรียมเพื่อธิดาอยู่ตลอด ๔ เดือน พร้อมกับการสร้างเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์

เมื่อจะให้สิ่งที่ควรให้แก่ธิดา จึงให้บรรทุกกหาปณะเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม ภาชนะทองคำเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม ภาชนะเงินเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม ภาชนะเงินเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม ภาชนะทองแดงเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม ภาชนะสำริดเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม ผ้าด้ายผ้าไหมเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม เนยใสเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม น้ำมันเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม น้ำอ้อยเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม ข้าวสาลีเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม และให้บรรทุกเครื่องอุปกรณ์มีไถและผานเป็นต้น เต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม

บิดานางวิสาขามีความคิดว่า ในสถานที่ที่ธิดาของเราไปแล้ว นางอย่าได้ส่งคนไปหยิบยืมหรือขอสิ่งของจากประตูเรือนบุคคลอื่นว่า “ เราต้องการสิ่งของชื่อโน้น ” ดังนั้น เพื่อมิให้ธิดาต้องเดือดร้อนใจ ท่านธนัญชัยเศรษฐีจึงได้สั่งให้มอบเครื่องอุปกรณ์ครบทุกสิ่งแก่ธิดาของตน

นอกจากนี้ ท่านเศรษฐียังได้ให้รถอีก ๕๐๐ คัน แต่ละคันให้มีสาวใช้รูปงามประดับด้วยเครื่องประดับอันวิจิตรพร้อมสรรพ นั่งบนรถคันละ ๓ คน และได้ให้สาวใช้อีก ๑ , ๕๐๐ คน โดยสั่งว่า

พวกเจ้าเท่านี้คนจงทำหน้าที่อาบน้ำให้แก่ธิดาของเรา เท่านี้คนจงรับหน้าที่จัดอาหารบริโภค เท่านี้คนจงรับหน้าที่แต่งตัวให้แก่ธิดาของเรา

นอกจากเครื่องอุปโภคบริโภคพร้อมทั้งบริวารคนรับใช้แล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อชาวภารตะยุทธในยุคนั้น เพราะอาชีพส่วนใหญ่ของประชาชนล้วนทำเกษตรกรรม ต้องอาศัยสัตว์เลี้ยงในการไถคราด การเดินทาง หรือการบรรทุกสิ่งของ อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารสำคัญของชาวเมืองในการผลิตน้ำนมไว้บริโภค แปรรูปเป็น นมส้ม เนยข้น เนยใส น้ำมันเปรียง อีกทั้ง ข้าวมธุปายาสล้วนหุงต้มด้วยน้ำนมทั้งสิ้น ดังนั้น โค จึงเป็นสัตว์เลี้ยงสำคัญที่จะขาดเสียมิได้

ครั้งนั้น ท่านธนัญชัยเศรษฐีคิดว่า “ เราจะให้โคแก่ธิดาของเรา "”จึงสั่งบุรุษบริวารว่า พวกท่านจงไปเปิดประตูคอกน้อย แล้วจงถือกลอง ๓ ใบ อยู่ในสถานที่ ๓ คาวุต ( ๓๐๐ เส้น ) จงยืนอยู่ที่ข้างทั้ง ๒ ฟาก โดยส่วนกว้างในเนื้อที่ประมาณ ๑ อุสภะ ( ๑ เส้นเท่ากับ ๑๕ วา ) จงไล่ต้อนอย่าให้แม่ฝูงโคไปทางอื่น เมื่อฝูงแม่โคหยุดยืนแล้วพึงตีกลองสัญญาณ

บุรุษเหล่านั้นทำตามคำสั่งของท่านเศรษฐีทุกประการ ทันทีที่เปิดประตูคอก ฝูงแม่โคได้เดินขบวนออกไปเป็นทิวแถวระยะทางไกลได้ กึ่งโยชน์ ( ๘ กิโลเมตร ) พวกบุรุษได้ตีกลองสัญญาณขึ้น แต่ในเวลาฝูงแม่โคไปได้ ๓ คาวุต กว้างประมาณ ๑ อสุภะ ด้วยอาการอย่างนี้ ธนัญชัยเศรษฐีสั่งให้ปิดคอกด้วยกล่าวว่า “ ฝูงแม่โคเท่านี้พอแล้วแก่ธิดาของข้าพเจ้า พวกท่านจงปิดประตูเถิด ”

เมื่อพวกบุรุษปิดคอกประตูแล้ว แต่โคตัวมีกำลังและแม่โคนมทั้งหลายยังกระโดดข้ามรั้วคอกวิ่งตามออกไปอีก และมิได้มีจำนวนน้อย แต่ในขณะที่บุคคลทั้งหลายกั้นคอกไว้ ก็ได้มีโคที่มีกำลังมากถึง ๖หมื่นตัว และแม่โคนมอีก ๖ หมื่นตัว กระโดดตามออกไป และมีลูกโคตัวที่มีกำลังจำนวน ๖ หมื่นตัวออกไปด้วย อีกทั้งพวกโคอุสุภะของแม่โคนมเหล่านั้นก็ได้ติดตามไปด้วย

ทั้งนี้เพราะบุญของนางวิสาขาได้เคยทำได้ในอดีต ส่งผลในคราวนี้เช่นกัน เกิดจากผลแห่งทานที่นางวิสาขาได้ถวายสิ่งของแก่พระภิกษุสามเณรผู้ห้ามอยู่

ดังมีเรื่องกล่าวว่า ในสมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า นางวิสาขาได้เป็นพระกนิษฐาของพระราชธิดาทั้ง ๗ พระองค์ของพระเจ้ากิกี ทรงพระนามว่า “ สังฆทาสี ” เมื่อทรงถวายโครส ๕ ประการ ( นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมันเปรียง ) แก่พระภิกษุ ๒ หมื่นรูป แม้พระภิกษุและสามเณรจะปิดบาตรแล้วกล่าวห้ามว่า “ พอแล้วๆ ” พระนางก็ยังยืนยันรับสั่งว่า “ สิ่งนี้อร่อยนะ สิ่งนี้น่าฉันนะ เจ้าค่ะ ” แล้วได้ทรงถวายแล้ว ถวายอีก เพราะผลแห่งกุศลกรรมนั้น โคทั้งหลายแม้บุคคลห้ามไว้ จึงมิอาจห้ามได้แล้วอย่างนั้น

การที่ทรัพย์สิ่งของจำนวนมากเช่นนี้ จำเป็นต้องมีคนรับใช้ชายหญิงเป็นผู้ช่วยเหลือ แต่ท่าน ธนัญชัยเศรษฐีมิได้จัดหาให้ธิดา สร้างความแปลกใจแก่ภรรยาคือนางสุมนาเทวีอย่างยิ่ง จึงถามสามีว่า “ สิ่งทั้งปวงสำหรับลูกสาวของเราท่านได้จัดแจงไว้แล้ว แต่คนรับใช้ชายหญิงสำหรับเป็นผู้ช่วยเหลือ ท่านยังมิได้จัดแจง เป็นเพราะเหตุอะไร ”

ธนัญชัยเศรษฐีกล่าวชี้แจงว่า “ เหตุที่ไม่ได้จัดแจง “ เพื่อต้องการจะรู้ว่ามีผู้ที่จงรักภักดีต่อลูกสาวเรามากเพียงใด เพราะเราจะไม่บังคับผู้ไม่พอใจไปกับลูกสาวของเรา รอเวลาที่ลูกสาวของเราจะขึ้นยานพาหนะไปนั้นแหละ เราจึงจะประกาศว่า ผู้ใดประสงค์จะไปกับนางวิสาขาธิดาของเราก็จงไป ผู้ไม่ประสงค์ก็ขออย่าได้ไป

บทความจาก http://www.oknation.net/blog/boy-girl/2009/12/05/entry-1

พระคันธกุฏี

คันธ...เพราะไม่เคยปราศจากกลิ่นหอมรอบๆ พระกุฏีที่พักของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มหาชนนำดอกไม้และของหอมมาบูชาอยู่เสมอ...สาธุค่ะ

Wednesday 6 January 2010

in the cave

เมื่อวานตอนเย็นวูบเป็นครั้งแรกของปีนี้/ ตี 3 เลือดหยุดไหล/ หกโมงเช้า ดีขึ้นเยอะแต่ยังมึนหัวอยู่นิดหน่อย...ภายในถ้ำของพระเถระ น้องเต้ยกำลังปูผ้าสีทองและวางประทีปเพื่อบูชา หนูทำความสะอาด เก็บขยะในถ้ำ พี่ขาวก็กำลังเจริญกุศลอยู่ ดีจัง

Tuesday 5 January 2010

คิชกูฏ II

หน้าถ้ำท่านพระสาลีบุตรเถระ...น้องปอม ทานที่กระทำด้วยศรัทธา ศีลที่ใช้วิริยะในการรักษา และฉันทะในภาวนา กุศลต่างๆ ถึงพร้อมหรือยังจ๊ะ? หากต้องตายตอนนี้ ไม่เสียใจใช่มั้ย...แล้วใครจะ up blog ให้หนูอ่ะ


พี่ขาว น้องปอม น้องเต้ย และพี่วันชัย โปรดสังเกตว่าทุกคนเหนื่อยมาก

Monday 4 January 2010

คิชกูฏ

...หนาว ความดันต่ำทีไร หนาวตอนกลางคืนทุกที สักวันหัวใจคงหยุดเต้นไปเอง