Friday 26 February 2010

just the way you are

If paradise is half as nice...Il paradiso della vita
ลมย่อมเลือกทางพัดได้เอง
...แต่ถ้าเราไม่ได้ลองออกไป สัมผัสกับสายลม
...จะไม่มีทาง รู้ทิศทางลมได้เลย

Wednesday 24 February 2010

Black Buddha

ภาพถ่าย ณ ปัจจุบัน ดูผ้าสิ ยังเป็นผ้าที่เราเอาไปห่มท่านที่อินเดียอยู่เลย...น้ำตาซึม


สำหรับประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อองค์ดำ จากบันทึกของ ปิลาซิง ทำให้เราได้ทราบว่า พระพุทธรูปพระพุทธเจ้าองค์ดำนี้ สร้างเมื่อสมัย พระเจ้าเทวาปาล คือระหว่าง พ.ศ.1353-1393

และถ้าหากท่านทราบประวัติความเป็นมามากกว่านี้ ท่านจะรู้สึกศรัทธา และประหลาดใจเป็นแน่ เพราะเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือจากการทำลายของคนศาสนาอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ.1766 พวกมุสลิมได้ใช้วิธีเผยแผ่ศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ ถ้าใครไม่นับถือศาสนาของตนจะต้องถูกทำร้าย โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญ จะต้องถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา

จนกระทั่งเข้ายึดครองดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือได้ทั้งหมด ด้วยการใช้กำลังอำนาจเข้าห้ำหั่น ฆ่าฟัน ข่มเหง และย่ำยีด้วยวิธีการต่างๆ นานา ซึ่งมี อิคเทียร์ ซิลจิ เป็นหัวหน้า พาสมัครพรรคพวก ถืออาวุธเข้าห้ำหั่นชาวพุทธ ทุบทำลายเผาตำรับตำรา สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก

จากการบันทึกของท่าน ตารนาท ธรรมสวามินปราชญ์ เขียนเอาไว้ว่า พอกองทัพมุสลิมยกทัพกลับไปแล้ว พระ นักศึกษา และพระอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 70 องค์ ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน ทำการสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ รวบรวมเท่าที่จะหาได้ ปฏิสังขรณ์ตัดทอนกันเข้า ก็พอได้ใช้สอยกันต่อมา

และท่าน มุทิตาภัทร รัฐมนตรีของกษัตริย์ ในสมัยนั้น ได้จัดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง ส่งไปจากแคว้นมคธ เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น

แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มี ชูชก 2 คน เข้ามาวางอำนาจ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลทางศาสนา จนกระทั่ง 12 ปีผ่านไป 2 ชูชกก็ยังวางตนเขื่องอยู่

มาถึงคราวหนึ่ง ทั้ง 2 ชูชกได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น และคงคิดว่าเพียงพอแล้วที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้รวบรวมเศษไม้ แล้วก่อไฟขึ้น พร้อมทั้งขว้างปาดุ้นฟืนที่ติดไฟไปตามสถานที่ต่างๆ โดยรอบ จนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ไปทั่ว มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา แหลกลาญเป็นผุยผง สุดที่จะทำการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ให้คืนดีได้ดังเดิม มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา อันเลื่องชื่อลือนาม ก็เป็นอันสิ้นสุดลง ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า มาตั้งแต่บัดนั้น

จนกระทั่งชาวอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย ได้มีนักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อท่าน เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านบันทึกของ พระถังซำจั๋ง ซึ่งเป็นพระจีนที่เคยเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ถึง 14 ปี ได้บันทึกเหตุการณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด

ซึ่งเมื่อ เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านดูแล้ว จึงได้มอบหมายให้ เอ.เอ็ม.พรอดเล่ย์ และ ดร.สปูนเนอร์ เข้าไปค้นหาปูชนียวัตถุ ตามบันทึกนั้น ก็ปรากฏว่าได้พระพุทธรูปมากมายหลายองค์ ส่วนมากจะเสียหายหักบิ่นจากการถูกทำลายของมุสลิมดังกล่าว จึงส่งเข้าไปรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ

ส่วนพระพุทธรูป หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ นั้น ไม่ทราบว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกส่งไปอังกฤษด้วย และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุด จะมีหักบิ่นนิดหน่อยเฉพาะที่พระนาสิก และพระองค์คุลีข้างขวาเท่านั้น

สรุปแล้วก็คือ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของมุสลิม และไม่ถูกอังกฤษยึดไป หากมองจากภาพทั่ว ๆ ไปแล้วพระพุทธรูปองค์ดำนี้..มีขนาดใหญ่และปดิษฐานตั้งไว้บนฐานที่มั่นคงยากลำบากต่อการเคลื่อนย้าย แต่ตามคำบอกเล่าทราบว่า ในกาลภายหลังทางรัฐบาลอินเดียพยายามที่จะย้ายท่านไปเก็บรักษาไว้ภายในพิพิธภัณฑ์เมืองนาลันทา ซึ่งเก็บรวบรวมหลักฐานพระพุทธรูปต่าง ๆ ที่ค้นพบในบริเวณนาลันทาและราชคฤห์ ทุกครั้งที่มีการโยกย้ายมักเกิดเหตุอาเพทที่ไม่คาดฝันเสมอ เช่น ฝนตกอย่างหนักเกิดฟ้าผ่าอย่างรุนแรงเป็นต้น เป็นเหตุให้การโยกย้ายองค์พระไม่สำเร็จได้ และชาวบ้านก็มาดูแลรักษาหลวงพ่อดำไว้ หากเกิดการเจ็บป่วยก็จะนำน้ำมันมาลูบองค์พระแล้วอฐิษฐานขอให้หลวงพ่อรักษาโรคต่าง ๆ ก็เป็นมหัศจรรย์ว่า โรคต่าง ๆ ได้ถูกรักษาด้วยพลังความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ แม้แต่ปัจจุบัน ชาวพุทธผู้แสวงบุญชาวไทยต่างก็เดินทางไปสักการะและอฐิษบานของพรจากท่านรักษาโรคต่าง ๆ หายได้นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก หากมีโอกาสก็อย่าลืมไปสักการะหลวงพ่อดำได้ที่นาลันทา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย
เรื่อง/ภาพ จากท่านคมสรัญญี พระธรรมฑูตสายอินเดีย

Friday 19 February 2010

Passion in action

จะรู้ว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่ ก็ต่อเมื่อเราได้ออกเดินทาง

จะรู้คุณต่าของอะไรสักอย่าง ก็ต่อเมื่อเราได้เสียมันไป

จะรู้ความหมายของ "ฟ้าหลังฝน" ก็ต่อเมื่อเราผ่านพ้นมันมาได้

จะรู้ว่ามีเรื่องอีกมากมาย ถ้าเราเปิดใจ ยอมรับฟัง

จะรู้ว่าในหนังสือมีอะไร ก็ต่อเมื่อเราได้ลองเปิดอ่าน

จะรู้เวลาของดอกไม้บาน ก็ต่อเมื่อเราเฝ้าตามอยู่อย่างนั้น

กว่าจะรู้เสียงหัวเราะมันมีค่า ก็ต่อเมื่อเราเสียน้ำตาในสักวัน

จะรู้อะไรที่เรียกว่าคิดถึง ก็ต่อเมื่อในความคำนึงมีใครสักคน

จะรู้ความในใจของกันและกัน ก็ต่อเมื่อ "เราพูดมันออกไป"

จะรู้ว่าค่ำคืนไม่เงียบเหงา ก็ต่อเมื่อทุกเรื่องเล่าได้มีโอกาศบอกไป

จะรู้ว่าคำพูดหมดความหมาย...ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นไม่อยู่ให้บอก

Sharing your needs without appearing needy.

ขอบคุณ fw.mail จากพี่หุยคนสวยค่ะ ขอบคุณการมองโลกในแง่ดี ควาเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และความห่วงใย ที่ทำให้มิตรภาพเติบโตอย่างงดงามนะตัวเอง ^_^

Things to remember II

Wednesday 17 February 2010

Things to remember



...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่โกรธ ฝึกฝนตนแล้ว มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ตอบ สงบ คงที่อยู่ ความโกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ แล้วผู้นั้นเป็นผู้ลามก กว่าบุคคลนั้นแหละ เพราะการโกรธตอบนั้น บุคคลไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าย่อมชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้วเป็นผู้มีสติสงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและแก่บุคคลอื่น เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย คือของตนและของบุคคลอื่น ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลาดังนี้.

Monday 15 February 2010

Dhamma studying




ผู้มีจิตนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย เมื่อใส่บาตรหรือถวายภัตตาหารในกาลใด มีจิตใจนอบน้อมต่อภิกษุผู้รับเหมือนท่านเป็นพระอริยบุคคล ขณะนั้นจิตไม่เศร้าหมองเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นสามเณรก็เป็นพระอริยบุคคลได้ พระภิกษุใหม่ หรือพระภิกษุเถระก็เป็นพระอริยบุคคลได้ ขณะที่จิตนอบน้อมโดยมุ่งตรงต่อพระอริยสงฆ์ ขณะนั้นจิตเป็นกุศล ซึ่งมีโอกาสทำได้เสมอ ไม่ใช่ต้องไปขวนขวายทำตามระเบียบ

Friday 12 February 2010

right angle




ธรรม ๓ อย่าง ควรรู้ยิ่ง เป็นไฉน

ได้แก่ ธาตุ ๓ คือ กามธาตุ ๑ รูปธาตุ ๑ อรูปธาตุ ๑

ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ ควรรู้ยิ่ง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒

Thursday 11 February 2010

right away

ออกจากไวสาลี กำลังเดินทางไปกุสินาราค่ะ เป็นจุดพักที่เราเข้าทุ่งกัน เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก คิดดูดิ

Wednesday 10 February 2010

เสาอโศก




พระเจ้าอโศกมหาราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์อินเดีย กษัตริย์ผู้ได้ชื่อว่า โยนดาบแล้วมาจับคัมภีร์ ทิ้งกองทัพที่รบด้วยศาตราวุธ มาเป็น ธรรมาวุธ ประกาศตนเป็นพุทธมามกะและมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา จนทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองในอินเดียอย่างต่อเนื่องนับพันปี แม้แต่ทุกวันนี้ ชาวพุทธก็ได้รับอานิสงส์แห่งหลักฐานต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลือเป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฎิเสธได้เลยก็คือ อักษรพรหมมี ที่สลักปักไว้ที่เสาหินของพระเจ้าอโศกมหาราชนั่นเอง วันนี้ขอนำความหมายที่พบ ณ เสาหิน เมืองนันทันการ์ด รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย มา เพื่อเป็นกรณีศึกษา ตัวอย่างของพระองค์ท่านที่มีวิธีการถวายศาสนูปถัมภ์และทัศนคติ ต่อต่างลัทธิ ต่างศาสนาในสมัยนั้นดังนี้

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปริยทรรศี (อโศก)ผู้เป็นที่รึกแห่งทวยเทพ ได้มีพระบรมราชโองการให้ประกาศแก่อำมาตย์ทั้งหลาย ณ พระนครปาฏลีบุตรและ ณ นครอื่นๆ ว่า

ข้าฯ ได้กระทำให้สงฆ์มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วบุคคลใดๆ และเป็นภิกษุหรือภิกษุก็ตามก็ไม่อาจทำลายได้ ก็แลหากบุคคลผู้ใด จะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม จักทำสงฆ์ให้แตกกันบุคคลผู้นั้นจักต้องถูกบังคับให้นุ่งห่มผ้าขาวและไปอาศัยอยู่ ณ สถานที่อื่น (นอกวัด)พึงแจ้งสาสน์พระบรมราชโองการนี้ให้ทราบทั่วกันทั้งภิกษุสงฆ์และในภิกษุณีสงฆ์ด้วยประการฉะนี้

พระผู้เป็นที่รักด้วยทวยเทพได้ตรัสไว้ดังนี้

ก็ประกาศพระบรมราชโองการเช่นนี้ ท่านทั้งหลายพึงนำไปติดไว้ ณ ทางสัญจรภายในเขตใกล้เคียงของท่านทั้งหลายฉบับหนึ่ง และจงเก็บรักษาประกาศพระบรมราชโองการอันเดียวกันนี้แลไว้ในเขตใกล้เคียงของอุบาสกทั้งหลายอีกฉบับหนึ่ง ทุกๆ วันอุโบสถ บรรดาอุบาสกเหล่านั้น พึงทำตนให้มีความรู้ความเข้าใจแนบแน่นในประกาศพระบรมราชโองการนี้ และทุกๆ วันอุโบสถ มหาอำมาตย์ทุกๆ คนพึงไปร่วมในการรักษาอุโบสถด้วยเป็นประจำเพื่อจักได้เกิดความคุ้นเคยแนบสนิท และรู้เข้าใจทั่วถึงซึ่งประกาศพระบรมราชโองการนั้นแล

ทั่วทุกหนทุกแห่งที่อำนาจบริหารราชการของท่านทั้งหลายแผ่ไปถึง ท่านทั้งหลายพึงขับไล่ (บุคคลผู้ทำลายสงฆ์)ออกไปเสีย และในทำนองเดียวกันนั้น ท่านทั้งหลายพึงขับไล่ (บุคคลที่ทำลายสงฆ์) ในเมืองด่าน และในท้องถิ่นทั้งหลายออกไปเสีย โดยให้เป็นตามข้อความในประกาศนี้

Visali VI

เวลาของความดี ความงามและความรัก...ก้นงอนเชียวนะตัวเอง

ปริตธรรม : ธรรมะที่สั้นแสนสั้นเกิดแล้วก็ดับ, ธรรมะคือสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดดับเร็วเกินกว่าที่จะบิดเบือนผันแปรเป็นอย่างอื่น ธรรมะที่เกิดขึ้นสั้นแสนสั้นนี้ ทำให้เกิดความติดข้อง เห็นก็ติดข้อง ได้ยินก็ติดข้องฯ ทำให้คิดว่าเป็นตัวตน การติดข้องนำมาซึ่งความทุกข์ ทุกคนไม่มีวันที่จะสมหวัง เกิดมาแล้วไม่ให้แก่เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เครื่องผูกพันมีหลายอย่าง สำหรับบางคนนั้นเป็นลาภยศสรรเสริญ สำหรับบางคนนั้นคือการมีความมั่นคงที่จะศึกษาที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม ไม่ว่าชีวิตของเราจะเดินไปในทางไหนก็ตาม ไม่ว่าชีวิตประจำวันจะเป็นโลภะหรือโทสะ แต่ให้รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นให้เห็นความละเอียดของทุกขอริยสัจจะ และรู้จักสมุทัยอริยสัจจะ

Tuesday 9 February 2010

Visali V



ดูก่อนเทพธิดา ผู้มีผ้านุ่งห่มและธงล้วนแต่สีเหลือง เครื่องประดับก็ล้วนแต่สีเหลือง ท่านถึงไม่ประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม ก็ยังงามดูก่อนเทพธิดา ผู้มีเครื่องประดับล้วนแต่ทองคำ แก้วไพฑูรย์ จินดามีกายปกคลุมด้วยร่างแหทองคำเหลืองอร่าม เป็นระเบียบงดงามด้วยสายแก้วต่าง ๆ สายแก้วเหล่านั้น ล้วนสำเร็จด้วยทองคำ แก้วทับทิมแก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ แก้วลายคล้ายตาแมว แก้วแดงคลายสีเลือด บางอย่างก็สดใสเหมือนสีตานกพิราบ เครื่องประดับทั้งหมดที่ตัวของท่านนี้ ทุก ๆ สาย ยามต้องลมพัดมีเสียงไพเราะเหมือนเสียงนกยูงเสียงพญาหงส์ทอง เสียงนกการเวก มิฉะนั้นก็เสียงเบญจางคดุริยดนตรี ที่พวกคนธรรพ์ พากันบรรเลงเป็นคู่ ๆ อย่างไพเราะน่าฟัง อนึ่ง รถของท่านก็งดงามมากหลากไปด้วยรัตนะสีต่าง ๆ อันบุญกรรมจัดสรรมาให้จากธาตุนานาชนิด ดูงดงามยามท่านยืนอยู่บนรถ ขับไปถึงที่ใด ที่นั้นก็สว่างไสวไปทั่ว.

ดูก่อนนางเทพธิดา อาตมาถามท่านแล้ว ท่านจงตอบอาตมาว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.

นางมัลลิกาเทพธิดาตอบว่า พระคุณเจ้าขา ดีฉันมีร่างกายซึ่งปกปิดไว้ด้วยร่างแหทองคำวิจิตรไปด้วยแก้วแดงอ่อน ๆ และแก้วมุกดา นับว่าดีฉันคลุมร่างไว้ด้วยตาข่ายทองเช่นนี้ ก็เพราะดีฉันมีจิตผ่องใส ได้บูชาพระโคดมบรมครู ผู้ทรงพระคุณหาประมาณมิได้ ซึ่งเสด็จเข้าสู่นิพพานไปแล้ว ครั้นดีฉันทำกุศลกรรมที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายสรรเสริญแล้ว จึงสร่างโศก หมดโรคภัย ได้รับแต่ความสุขกาย สุขใจ รื่นเริงบันเทิงใจเป็นนิตย์.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจ เริ่มต้นทรงแสดงพระธัมมจักกปปวัตตนสูตร จนถึงทรงโปรดสุภัททปริพาชกแล้ว ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในเวลาใกล้รุ่ง ณ วันเพ็ญ เดือน ๖ ในระหว่างต้นสาละทั้งคู่ ณ สาลวันแห่งมัลลราช ใกล้กรุงกุสินารา พวกทวดาและมนุษย์ต่างพากันทำการบูชาพระสรีระของพระองค์ ในครั้งนั้น ราชบุตรีของกษัตริย์มัลละเป็นภรรยาของพันธุลมัลละ ในกรุงกุสินารา ชื่อมัลลิกา เป็นอุบาสิกามีศรัทธาเลื่อมใส เอาน้ำหอมล้างเครื่องประดับมหาลดาของตน เช่นเดียวกับของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ขัดด้วยผ้าเนื้อดีและถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้น เป็นอันมากอย่างอื่นบูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้นต่อมา นางมัลลิกานั้น สิ้นชีพิตักษัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. ด้วยอานุภาพแห่งการบูชานั้น นางมัลลิกาได้มีทิพยสมบัติอันโอฬาร ไม่สาธารณ์ด้วยผู้อื่น. วิมานประดับด้วยผ้า รุ่งเรืองด้วยแก้ว ๗ ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรัศมีสีทอง ผ่องใสยิ่งนัก ปรากฏเหมือนสายน้ำสีทอง แดงเรื่อโปรยลงมาจากทุกทิศ.

Monday 8 February 2010

Visali IV

เมื่อวาน...ไม่ใช่ และไม่เหมือนวันนี้



พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า...

บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง

สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง

ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได้

บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนือง ๆให้ปรุโปร่งเถิด

Friday 5 February 2010

แผ่เมตตา vs อุทิศส่วนกุศล

ความแตกต่างระหว่างการอุทิศส่วนกุศลกับการแผ่เมตตา

การอุทิศส่วนกุศล เป็นการให้ส่วนบุญอันเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น ที่ตนได้กระทำให้เกิดขึ้นแล้ว ให้แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้วที่ไปเกิดเป็นปรทัตตูปชีวิกเปรต หรือเวมานิกเปรต โดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่อโลภเจตสิก คือความไม่โลภ

การแผ่เมตตา คำว่าเมตตา แปลว่า ธรรมชาติที่เป็นความรัก ความเสน่หา มีลักษณะที่เป็นความปรารถนาดีแก่สัตว์ทั้งหลาย ต้องการให้สัตว์เหล่านั้นมีความสุข ต้องการน้อมเอาประโยชน์เกื้อกูลเข้าไปให้แก่สัตว์ทั้งหลาย โดยสภาะธรรมแล้ว ได้แก่ อโทสะเจตสิก คือธรรมชาติที่เป็นความไม่ผูกโกรธ ไม่พยาบาท

การอุทิศส่วนกุศลเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสสา (ความไม่ยินดีในทรัพย์สมบัติหรือคุณความดีของผู้อื่น) และมัจฉริยะ (ความตระหนี่ในสมบัติหรือคุณความดีของตน) ถ้าบุคคลใดยังมีอิสสา หรือมัจฉริยะ การอุทิศส่วนกุศลก็จะเกิดไม่ได้

การแผ่เมตตาเป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อความพยาบาท เมื่อเมตตาเกิดขึ้นเมื่อใด บุคคลนั้นย่อมมีความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ความพยาบาทย่อมถูกกำจัดไป การอุทิศส่วนกุศล จะอุทิศให้ได้เฉพาะแก่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ไปเกิดเป็นเปรต บางจำพวกดังที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น

การแผ่เมตตา จะแผ่ให้กับบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ เมตตาจะไม่เกิด เพราะการจะน้อมเอาประโยชน์เกื้อกูล เอาความปรารถนาดีไปให้แก่ผู้อื่นจะสำเร็จประโยชน์ก็เฉพาะแก่บุคคลผู้มีชีวิตอยู่เท่านั้น ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์แก่บุคคลผู้ล่วงลับไปแล้ว

นอกจากนั้นการแผ่เมตตายังสามารถแผ่ให้กับสัตว์ได้ไม่มีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน มนุษย์ เทวดา ตลอดจนพรหมที่อาศัยอยู่ในภพภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิ

การอุทิศส่วนกุศลกับการแผ่เมตตาจึงแตกต่างกันดังกล่าวมานี้...

Thursday 4 February 2010

Visali III

นู๋ปอม พี่บุษ และน้องแพะ

แม่นไม่แม่นไม่รู้

ใกล้วันแห่งความรักแล้ว...ดูลักษณะเนื้อคู่ของหนูดิ
อันลักษณะเนื้อคู่สำหรับผู้หญิงที่เกิดวันเสาร์นั้น เป็นลักษณะทางกายภาพ รวมกระทั่งการผสานดวงชะตาเพื่อเพ่งดูลักษณะบุคลิกที่คุณประทับใจ ในการคบหากับเพื่อนต่างเพศเบื้องต้น ผู้หญิงวันเสาร์มักชอบผู้ชายผิวค่อนข้างขาว หรือสองสี หากเป็นคนดำก็ต้องเน้นเรื่องสะอาดจนดมเป็นพิเศษได้ มิฉะนั้นเอาชนะหัวใจเธอไม่ได้แน่นอน ด้วยพื้นดวงชะตาของผู้หญิงวันเสาร์เป็นคนแข็งจึงมักจะหลงปลื้มชอบผู้ชายโรแมนติคเพื่อเข้ามาชดเชยส่วนขาดในบุคลิกตนเอง ผู้ชายมาดดี สุขุมจะกินขาด ยิ่งเป็นคนใจเย็น จะถูกสเป็คมากขึ้น ชาย ใดปากเรียว คิ้วเข้ม และเป็นคนใจเย็น สุขุม จะมีโอกาสครองหัวใจเธอได้มากกว่าคนอื่นๆ

ดวงในเรื่องความรักของคนวันเสาร์บดี ไม่ค่อยโลดโผนพิสดารมากนัก ความรักค่อยเป็นค่อยไปอย่างเรียบง่าย หากจะมีเรื่องปวดหัวใจบ้างก็เป็นเพราะความมองโลกในแง่ดีเกินไป บางครั้งจึงหลงคารมคนไม่จริงใจ ถ้าช่วงใดเจ็บหัวใจ ก็จะทำใจด้วยการทุ่มเทในเรื่องที่มีสาระ มีประโยชน์กับชีวิต ความน่ารักของคนวันเสาร์บดีอยู่ที่ความสดใส เปิดเผย มีความมุ่งมั่นเสมอ ไม่ใช่คนที่เลื่อนลอยไร้สาระ ไม่ค่อยเจ้าชู้ แม้จะดูมีท่าทีเข้ากับคนง่ายสดใสเป็นกันเอง แต่ไม่ได้ชอบใครง่ายๆ เสมอไป ถ้ารักใครก็จะรักอย่างซื่อสัตย์ ดวงความรักของคนวันเสาร์บดีนั้นจะมีรักจริงจังก็ต่อเมื่อพบเจอคนที่เรียบง่ายคล้ายๆ กัน ปัญหาในรักมักใม่ใช่อยู่ที่ตัวคุณเอง เพราะคุณอดทนได้เสมอ แต่คนที่คุณรักต่างหากที่จะนำเรื่องปวดหัวมาให้คุณ

Visali II

...ณ กาลครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏ กับผู้คนที่เคยเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว

Wednesday 3 February 2010

Visali



...สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้ ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น...

ศีล ยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่งชรา

ศรัทธา ตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้สำเร็จ

ปัญญา เป็นรัตนะของคนทั้งหลาย

บุญ อันโจรลักไปไม่ได้

Monday 1 February 2010

Pattana III

ผู้โดยสารกึ่งนั่งกึ่งนอนบนชั้นสอง เราข้ามแม่น้ำคงคาที่เมืองปัตนะกำลังจะไปไวสาลัค่ะ

อบรมจิตเสมอด้วยแผ่นดิน
"...ดูกรราหุลเธอจงเจริญภาวนา เสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดแล้ว จะไม่ครอบงำจิตได้ ดูกรราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างฯ ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอาหรือเกลียดเพราะด้วยของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่ครอบงำจิตได้..."
ไม่ครอบงำด้วยความเป็นตัวตน ด้วยตัณหา ทิฏฐิ มานะ...